Search This Blog

Sunday, November 17, 2013

Sedona สวรรค์ชั้นน้อยๆของแกรนด์แคนยอน :)

เขียนต่อดีกว่า คิคิ คนมันว่างงานอะนะ =_="

      ตัดภาพมาที่หุบเขา ดินแยกชั้นสีแดงอิฐ ความรู้สึกตอนแรกที่มาเห็น พูดก่อนเลยว่าไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่ (ก็รู้สึกเหมือนถูกนำมาปล่อยไว้กลางหุขเขาว่างเปล่าไง)  แต่พอเราว่างจากงานแล้วเริ่มออกมาหาคำตอบว่า ทำไมหุบเขาที่แห้งแล้ง และห่างไกลผู้คนเช่นนี้ถึงได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ขาดสาย(เหตุเพราะเป็นแม่บ้านแล้วได้ทำความสะอาดแบบnonestop 555) ห้องพักที่โรงแรมที่ทำงาน แขกเชคอินเชคเอ้าท์ทุกวัน และเต็มตลอดปี ด้วยเหตุนี้เองจึงตัดสินใจมาหาคำตอบอย่างจริงจังในวันหยุดทำงาน

       มองไปไกลสุดตาจากด้านหน้ารถ อารมณ์คล้ายเหมือนที่นี่เป็นวิมานยังไง ยังงั้นเลย มีกลุ่มก้อนหินลักษณะคล้ายปราสาทวางเรียงรายอยู่สุดปลายทาง แล้วรถกำลังวิ่งเข้าหาปราสาทนั้น โอ้ยยย เห็นแล้วมันชื่นนนใจเจ้าคะ 

       วันที่ออกมาร้อนสุดชีวิต และเดินกันสนั่นหวั่นไหว ไปกับเพื่อนอีกคน ยังไม่พอ ใส่ขาสั้นอีกต่างหาก แหม่ผิวแทนโกลวววเลยทีเดียวคะ สีขอบฟ้ามันช่างสดใสเหลือเกินคำบรรยาย ตัดกับกังงหันสีรุ้งแล้ว น่ารัก คิคิ แก้งที่ถืออยู่นั้น ราคา 97cents(แก้วที่ใช้จะเป็นแก้วโฟมน้ำแข็งก็เลยไม่ละลายเพราะอากาศร้อนเกิ๊นนน) คือเดินไปดูดน้ำโค้กแก้วนี้ไป หมดแบบไม่เหลือน้ำแข็งเลย เพราะอากาศร้อน แต่ก็เดินชมความสวยงามไปรอบๆ สิริรวมก็ น่าจะสามชั่วโมง  แบบไม่พักจ๊า ฮ่าๆ




ม้าเศษเหล็ก ตั้งอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกอะไรซักอย่างนะ จำไม่ค่อยได้ แต่ตัวใหญ่มาก น่าจะสามเมตรได้นะ
นี่ก็วิวด้านข้าง มีหินสีแดงอิฐสดแยกชั้นเรียงรายเต็มไปหมด สวยงามเหมือนนิยาย
 ประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำด้านล่าง เค้าทำสวยดีแล้วก็เป็นเหล็กทุกอัน ทนแดดทนฝนมาก (ถ้าเป็นที่ไทยอาจโดนงัดเป็นเศษเหล็กนะเคอะ)



        เดินมาขึ้นรถเมล์ไปที่ตัวเมืองเซโดน่า ทุกอย่างอารมณ์แบบว่า แลนด์สเคปมาก มันกว้างไกลไปนู่นนนน เดินมาป๊ะกับโรงแรมหรู นี่ทำเลเค้าอยู่ตรงสามแยกพอดีเลย แล้วทำลักษณะเป็นเหมือนกำแพงโค้งตรงแยก ค่อยมีทางเข้าไปด้านใน แหม่ ฝรั่งเค้าก็ดูโหงวเฮงเหมือนกันนะเนี่ยะ  

อารมณ์แลนด์สเคปของยุวชิโอ้ คิคิ  <3


       เดินเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านร้านไอติม โคนละ สี่ดอล โอ้ววว นี่ได้ฮาร์เกนดาสบ้านเราเลย แต่ของเค้าเป็นแบบโฮมเมด อร่อยมากกก XD เลิฟฟฟ  เดินมาซักพัก เห็นรุปปั้นคู่รัก เค้าทำได้อารมณ์โรแมนติกมาก เป็นอีกที่สำหรับคู่ฮันนีมูนแบบ ผจญถัยนะ



       ร้านขายของเล็กๆน้อยๆ ออกแนววคันทรี่ แบบคาวบอยๆ ไม่แน่ใจว่าเราไปเดินกันตอนเที่ยงหรือยังไงไม่ทราบแต่ นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันมาตอนเราเริ่มจะกลับ ฮ่าๆ เพราะแสงแดดที่นี่ร้อนมาก เค้าคงรอให้ไม่ร้อนแสบผิวมาก ถึงค่อยมาเดินเล่นกัน เมืองเล็กๆแต่อบอุ่น เคยได้มีโอกาสไปบ้านคนไทยในเซโดน่าด้วย เค้านวดบำบัดรักษาคนที่เป็นอัมพฤกษ์ให้หายและกลับมาเดินอีกครั้งได้ อ้อ คนไทยนะคะจำได้ว่าพี่เค้าเรียนจบการตลาดเหมือนเราเลย แต่คนละที่กัน พี่เค้าน่ารักมากและบ้านก็ร่มรื่นมากด้วย ชวนพวกเรานั่งดื่มชาสมุนไพรและดูนกแก้วหลายตัวมากที่บ้านพี่เค้าเลี้ยงไว้ ไม่รู้โอกาสไหนอีกนะ จะได้กลับไปดินแดนหินทรายแดงสวรรคือีก อิอิ 



เดินเล่นกันจนเหนื่อย ผิวสีน้ำผึ้งไหม้กันแล้ว ก็กลับบ้าน นอนกันเพลียร่างมาก จำความได้เลย ใส่กางเกงขาสั้น กลับบ้านขาลายเป็นม้าลาย เริ่ดตรงนี้ 
ปล. ค่ารถเมล์คนละ 3-5ดอล ต่อเที่ยว ส่วนอาหารอื่นๆเราไม่ซื้อกินเพราะกลับไปกินที่บ้านพักดีกว่า เปลืองง ฮ่าๆ

เดะต่อไป เดินเล่นที่ Jerome เมืองเก่า โรงแรมผี และงาน3อย่างที่ได้ทำในเวลา 4เดือนที่นั่น จะมาเขียนต่ออีก ตอนนี้หิวว เหนื่อยๆ ง่วงอีกแล้ว บับบาย :)

Saturday, November 16, 2013

Grand canyon,AZ สุดลูกหูลูกตาแกรนด์แคนยอน

อีก 2 เดือนจะเริ่มงาน เย่! รอต่อไป ฮ่าๆ

มีพละกำลังกลับมาเล่าต่อ.. คราวนี้เล่าถึงเมื่อครั้งไปแกรนด์แคนยอนสมัย สองปีที่แล้ว Work&Travel program ก่อนจะจบปีสี่นะเฮาะ ย้อนไปเมื่อ March 2012 ละกัน ช่วงรอยต่อของชีวิต ต่อมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ยังต่ออยู่ เอิ้กกก หาตัวตนต่อไป  ช่วงนี้ตัดตอนมาจากเดือนเมษายน 2012 ทางโรงแรมที่เราทำงานให้(แม่บ้านถึกทึน) เค้าจัดทริปให้เด็กๆคนละ 40$ ไปกลับ จากเมืองพาราณสี โดยรถตู้ 3ชม. ก็ถึงแกรนด์แคนยอน

ชอบท้องฟ้าที่นั่นมาก สีฟ้าสดใส แต่ต้องใส่แว่นกันแดด เพราะเคยลืมใส่ น้ำตาไหลไม่หยุด แสงแดดแรงมาก รูม่านตามันหุบไม่ทัน สงสารดวงตามาก โดยพื้นที่รอบๆจะเป็นหุบเขาโล้นๆ แห้งๆ มันคือเขาจริงๆ (เราโชคดีมากที่บ้านเราเป็นเขาเขียว แต่ก็นับวันน้อยลงทุกที อยากมีเงินเยอะๆจะได้กว้านซื้อที่ปลูกเขาให้เขียวจริงๆ)

กลับมาต่อ คิคิ เอาไปเอามา ลืมถ่ายรูปทุกอย่างก่อนที่จะเข้ามาถึง  จำได้แค่ว่า เค้าจะให้จอดรถไว้ตรงลาน แล้วจะมีรถบัสแอร์มารับเราที่ลานจอดรถ คือ คนขับรถตู้ออกแนวเร่งๆเรา บอกว่า 3 ชม.พอ เราเลยไม่มีโหมดติสก์แตก ถ่ายรูปมากนัก ลักษณะภายในก็แบบที่เห้น รถคันใหญ่ดี ข้างในเย็นสบาย ตัดกับสภาวะอากาศด้านนอกมากที่ร้อน แห้ง แสบผิวเบาๆ 


 จุดแรกที่รถจอดตามป้าย ลงมาได้ไม่ลึกนักเพราะมีเวลาจำกัด (ถ้ามาเองคงได้ภาพที่ อันซีนกว่านี้หงะ) แต่ก็สวยสุดลูกหูลูกตา เพื่อนๆยืนถ่ายรูปกันรัว


 จุดตัดขอบฟ้า ทำให้เห็นว่าโลกมันกลมจริงๆอย่างที่เขาว่ากัน ความรู้สึกตอนนั้นคือ ถ้าเราเดินหลงอยู่ในหุบเขาข้างล่างนั้น คงร้อนและขาดน้ำแน่ๆ มันไม่มีต้นไม่เลยนะสิ มีแต่ ดินที่กลายเป็นหิน มาเที่ยวเองไม่มีไกด์คะ เลยไม่ได้รู้ประวัิติอะไรมากนักก่อนจะมา
 นี่ไง ตัวอัลไล เหมือนกระรอกนะ  ไม่แน่ใจ นางนั่งหันหลังให้แต่พอเห็นนักท่องเที่ยวเท่านั้นแหละ เหมือนรู้หน้าที่เลย เดินมาหาเรา พอดีว่ามีเม็ดถั่วอัลมอต์ติดกระเป๋า เลยยื่นให้นาง คิิคิ เดินดุ่มๆมาหยิบไปเนียนๆแล้วกินให้เราดู (จริงๆแบบนี้ก็ไม่ควรให้นะ เค้าติดป้ายห้ามให้อาหารสัตว์ แต่คือน้องเค้าเดินมา เผอิญมีเม็ดถั่วพอดี ฮ่าๆๆ น่ารักก)
แต่ละคนสนุกกันใหญ่เลย 
นั่งเขียนไป ก็นึกถึงเรื่องข่าวของคู่สามีภรรยาชาวไทยที่มาฮันนีมูนที่นี่แล้วถูกฟ้าผ่า ได้ยินแล้วเศร้า...เฮ่อ...อะไรๆก็เกิดขึ้นได้จริงๆนะ ขอให้เค้าทั้งสองคนเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันทุกชาติไป ...

ตอนต่อไป เดะลงรูปใน Sedona นี่ก็สวยไม่แพ้กัน ตัดตอนเลยดีก่า เพิ่งกลับมาเปิดคอมอีกรอบ เย่! :D

Sunday, November 3, 2013

10 days India trip กรี๊ดดดด ชั้นมีชีวิตรอด(2)

 มาต่อกัน คิคิ ไม่ได้จ้องคอมซะนานเลยเหนื่อยไปบ้าง เข้ามาด้านในของป้อมอัครา ส่วนมากเป็นหินอ่อน จากอากาศตอนนั้นที่มันร้อน(มาก) พิเข้าไปในตัวอาคาร เย็นแบบไม่ต้องใช้แอร์เลย อัศจรรย์จริงๆ ภายในบริเวณไม่เห็นแอร์ซักกะตัว น่าทึ่งคนสมัยก่อนเขาคิืดได้ยังไงกัน

งานแกะที่ละเอียด และโค้งเว้าเท่ากัน เริ่ดคะ 

และแล้วก็มาเดินมาจนถึงสนาม ช่วงเดินออกคณะรถทัวร์รอเราประมาณชั่วโมงเพื่อที่จะเดินทางไปทัชมาฮาลต่อ (ห้าโมงเย็น กว่าจะได้ไปถึงที่ที่อยากจะเห็น) ค่าตั๋วเข้าชม คนอินเดียก็ 20 รูปีนะถ้าจำไม่ผิด ส่วนคนอื่นเอเชียคิด 500 และคนยุโรป หรือพวกประเทศค่า จีดีพี สูงๆ ก็ 700  ราคาตั๋วแบ่งแยกตามความเจริญของประเทศ -_-"



แสงที่เข้าไปตอนนั้นกำลังสวย ไม่ถือว่าร้อนมากเหมือนตอนกลางวัน ท้องฟ้าใสๆกับสนามเขียวๆ รู้สึกเลยว่า เริ่มคุ้มค่าบัตรละ อิอิ เด็นเข้าไปผ่านตึกนี้ ไกด์บอกถึงจะเข้าสู่ตัวแม่งาน ทัชมาฮาล แต่ก่อนเข้าไป สังเกตุเห็นด้านบนของประตูเข้า เค้าทำสวยมากตรงเพดาน มันตัดครึ่งขอบฟ้าพอดีเลย และพอเข้าไปมันมืดนิดหน่อยแต่พอสอดส่องเห็นตัวตึกหินอ่อนทัชมาฮาล ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาอย่างไม่ขาดสาย เยอะมากกกก


มุมแย่งชิงตำแหน่งถ่ายภาพ คนเยอะ ไม่อยากเบียด
 เขาไปในตัวอาคารด้านใน อากาศสดใส เดินแปปเดียว  หลังเปียกเลย
นี่ก็เป็นประตูทางเข้าของอาคารแต่ไม่ได้ถูกให้ใช้เพราะใกล้ตัวอาคารเกินไป นักท่องเที่ยวเยอะเลยต้องใช้ประตูเดียว

 วิธีรักษาความสะอาดภายในอาคารและรอบๆ เค้าให้สวมถุงผ้าทุกคน ถ้าไม่ใส่จะมีตำรวจ(มั้ง)แต่งชุดสีกากี ถือปืนโบราณดักอยู่ก่อนเข้าตัวอาคารหินอ่อน :D


บอกอย่างเดียวว่าสวยยย หลังจากเดินเล่นไปถ่ายรูปไป เหนื่อยมากกก แต่ประทับใจ ทริปนี้ไปกับคณะทัวร์คนอินเดียและลูกทัวร์อินเดีย และเราเพิ่งรู้ว่า เค้าเที่ยวกันมาราธอนมาก กลับไปถึงโรงแรมตี2 (เริ่มออกตอน 6โมงเช้า) คือ ระหว่างทางหลังจากแวะที่ทัชมาฮาลแล้ว พวกเขาพาแวะอีก 2 ที่ ซึ่งจะเกี่ยวกับศาสนาฮินดูเป็นหลัก และไม่ได้รับอนุญาตให้พกกล้องหรือโทรศัพท์เข้าไป น่าเสียดายมากๆ โดยที่อินเดียมีสถานที่ วัฒนธรรมเก่าแก่ยังคงเหลืออยู่เยอะ สิ่งปลูกสร้างที่มันใหญ่โตมโหฬารสวยมากๆแต่เค้าไม่ให้พกกล้องเข้าไป อีกที่นึงคือ Akshardham temple สวยมากกกก และเข้าฟรี ชอบตรงนี้ ก่อนจบตอน อีก 6 วันที่เหลือ หมดเวลาไปกับการดูแลคนที่มาด้วย ท้องเสียเพราะอาหารที่นั่น คาดว่านางน่าจะใส่ซอสสี่อย่างเขาจัดให้บนโต๊ะ ผสมลงในข้าวผัดไก่ ซึ่งคนปกติเค้าไม่ทำกัน แต่นางไม่เคย เลยจัดเต็ม ท้องเสียก่อนได้เลื่อนตั๋วกลับก่อนกำหนด เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว =_=" ถ้าไม่ป่วย อาจจะได้ไปอีกที่นึงที่อยากไปมากๆคือ Kingdom of the dream เสียดาย แต่ไม่เป็นไร เดะเก็บตังค์ใหม่ก่อนแล้วจะนั่งพรมวิิเศษไปอีก อิอิ 

ปล.น้ำที่นั่น ขายกันทีขวดละ 1 ลิตร ราคา 20 รูปี(ประมาน10บาท) และอาหารที่นั่น คุณมีตัวเลือกสามอย่างคือ ไก่,แพะ และ มังสวิรัติ..แน่นอนคะ กินไก่ทุกวันเลยที่นั่น ฮ่าๆๆ ร้านอาหารเฟรนไชส์ก็มีนะ แต่หายาก ที่เห็นก็มี subway,KFC,pizza hut และ Mc donald ซึ่งก็นั่นแหละ ทุกอย่างทำด้วยไก่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 

บับบาย :)
My dream is journey..journey is my dream..Oui

Saturday, November 2, 2013

10 days India trip กรี๊ดดดด ชั้นมีชีวิตรอด(1)

อิอิ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เพิ่งจะมาลองเขียนดู ไม่รู้จะเป็นยังไง เนื่องจากว่างมากกกก รอเริ่มงาน อีก2เดือน ขอเขียนไปแชร์ไปดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านทิ้งอะนะ

ทริปอินเดีย 10 วัน


เริ่มกันเลยที่วันแรก จองตั๋วเอง ขอวีซ่าเอง ชีวิตนี้ถ้าไม่มีอะไรต้องเสี่ยงก็เกิดมาไม่คุ้มสิคะ   เดะลงรูปไป พูดไปก้น่าจะเข้าท่านะ จะได้นึกภาพออก ในสมองก่อนไป  คิดเยอะมากเพราะจินตนาการไม่ถูกเลยว่า อินเดียจะเป็นยังไงไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนด้วยเหมือนทริปสิงคโปร เลยนึกออกแค่ทัชมาฮาล ซึ่งคนที่ไปนัดเจอกันที่นั่นก็ไม่เคยไปอินเดียมาก่อนเหมือนกัน คิคิ ต่างคนต่างเดาาาาจ้า

Booking.com เป็นเพื่อนที่ดีคะ หาโรงแรมทุกซอกมุมดี แต่ถึงยังไง โรแรมที่เราไปพักตอนก่อนกลับกลายเป็นที่ ที่เราเดินหาเดินผ่านแล้วเข้าไปถามดูสภาพจริงก่อน อันนี้ชัวร์สุด เลยยิงยาว4คืนเลย

กลับมาที่วันแรก จำความรู้สึกได้เลย ตื่นแหกขึ้ตาไปเชคอิน 6 โมงเช้า เผอิญไปพักกะเพื่อนหอพักแถวโรงบาล แท็กซี่นึกว่าเราเป็นหมอ ฮ่าๆๆ(ซึ่งหน้าเรียบร้อยมาก) อะต่อๆ สิริรวมก็เครื่องออกจากสนามบิน แปดโมงเช้า ไปถึงที่เดลี เที่ยงครึ่ง (อาหารที่เสริฟ ก็อาหารอินเดียจ้า แต่เราเริ่มได้กลิ่นแปลกๆตั้งแต่ตอนเค้ามาเสริฟละ เพราะเค้าถามแค่ว่า มังสวิรัติ หรือไม่มังสวิรัติ ในใจงง แต่เราก็เออ ไม่อะไร เนียน)

เครื่องจอด เราก็รีบลงปั๊ป สัมภาระพยายามไม่โหลดลงคะ เพราะกระเป๋าเล็กแบบลากราคาถูก เดะถ้าเค้าโยนแรงๆมันจะพัง ฮ่าๆๆ XD ก้เลยมีเป้ (ใส่เครื่องสำอางค์ก้เต็มแล้วครึ่งนึง เดะถ่่ายรุปไม่สวย ขอหอบไป 2/3ที่มีพอ คิคิ ) แล้วก็แบบลากเล็ก10kg ใบเดียว (แต่แน่นมาก)

ผ่าน ตม.สบายมาก คนที่นั่นมีทัศนคติที่ดีกับคนไทยนะ พอดูพาสปอร์ตเรา เค้าไม่อะไรเลย (ไม่เหมือน ตม.ที่เมกา ฮ่าๆๆ ดุนะเคอะ) กว่าจะมาถึงจุดรอพบ ก็บ่ายโมงที่นั่น แต่ยังคะ ต้องรอคนที่นัดเจอกันที่สนามบินที่นั่น นึกสภาพนะ ต่างคนต่างมาจากคนละที่ แต่มานัดเจอกันที่สนามบินที่ต่างคนก็ไม่เคยไปมาก่อน (มันช่างเป็นความคิดที่ท้าทายจริงๆ นางกล้ามากฮ่าๆ) เอาเป็นว่า เจอกันเพราะนั่งอยู่หน้าจอเลยว่าไฟลท์นี้ จอดแล้ว และเราก็รอตรงประตูทางออกเลย ไม่เห็นให้มันรู้ไป! (รอ 2 ชม.จ้าาา แทบระเบิด)

แท้กซี่(สภาพแบบtoyotaรุ่น1995)ที่นี่แปลกคะ ถ้าจะใช้แอร์ ต้องจ่ายเพิ่ม อีก 160รูปี (โดยประมาน 1 รูปีกว่าเกือบสองรูปี  เท่ากับ 1 บาท) เราตกลงกันเลย อะเค แอร์เถอะ ฮ่าๆ อากาศจะร้อนไปไหน สรุปจ่ายไป 500taxi+160AC =660รูปี

ที่ เห็นเขียวเหลืองนี่ บ้านเค้าเรียกว่า ตุ๊กตุ๊กนะ ชื่อเดียวกับไทยเป๊ะเลย พี่แอบงง  แต่ก็อะเค เรียกง่าย ชาร์ตได้เมื่อต้องการ ราคาอยู่ที่ 20-100 รูปี แล้วแต่ระยะทาง ถือว่าไม่แพง เปรียบเทียบคือ ตัวเลขเป็นราคาบ้านเรา แต่เปลี่ยนสกุลเงินเป็นรูปี ง่ายๆเลย เกือบทุกอย่างถูกเกือบครึ่งนึงที่เราเคยจ่ายในไทย

เช้ารุ่งถัดมาอีกวัน จัดไปทัชมาฮาล คนละ 2200รูปี ไปกลับทั้งวัน เราเห้นราคาแล้วมันก็เออคุ้มนะ
และเจอนักท่องเที่ยวไทยสองคน พอดีคนที่ไปกับเราพูดได้หลายภาษาและเค้าก้พอจะเดาภาษาอินเดียได้ เลยรู้ราคา ว่า คนที่เป้นอินเดียจ่ายคนละ 400รูปีไปกลับ พวกเราหน้าเอ๋อคะ เป็นสองคนที่ได้นั่งหลังสุด นึกสภาพรถ ปอ.ราคาถุกบ้านเรา แล้วแถวเบาะหลังสุดมันเอนไม่ได้ ที่มี 5ที่นั่ง เราสองคนจ่ายกันแพงสุด และได้นั่งที่ ห่วยที่สุด ..จงเจริญ..โดนไปแล้วดอกแรกของคนที่นี่คะ



อารมณ์ของอินเดียคือเมืองเก่า  มองไปรอบๆ ไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากนัก คน พาหนะ สิ่งของ วิถีการกินอยู่ แต่ความน่าหลงใหลคือวัฒนธรรมของคนที่นี่ ไม่ถูกเปลี่ยนไปมาก คนอยู่ได้ด้วยศาสนาเป็นที่พึ่ง แต่ก็นะ ที่ทำให้เรารู้สึกไม่ชินก็คือ เสียงแตรที่ดังตลอดระยะเวลาขณะนั่งรถ เค้าจะบีบแตรกันตลอด สนุกสนานมาก

ตัดฉากไปถึง ก่อนเข้าทัชมาฮาล รถทัวร์ ตั๋ว 2200 ราคาLuxury แต่ที่นั่ง ปอ.2 ไทย ฮาา รถเข้าไปจอด ป้อมอัครา(anguri bagh) เป็นป้อมปราการ มรดกโลก  เดินไปฟังไกด์ไป(ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องหงะ พูดฮินดิส่วนใหญ่อังกิดอินเดียบ้าง ) จำค่าเข้าไม่ได้ น่าจะ 300 รูปีนะ

แตงกวาปอกแล้วเอาผงอะไรสีๆใส่ตรงกลาง อารมณ์ประมาณ มะม่วงจิ้มพรกเกลือบ้านเรานะคิดว่า แต่ไม่ได้ชิม คิคิ 

(พักก่อนเดะเข้ามาเขียนต่อ)