Search This Blog

Sunday, December 22, 2013

Phoenix AZ,Rosson House Museum

มามะ เล่าเรื่องเมื่อครั้งที่ไปในตัวเมืองของฟินิกส์ดีกว่า พอดีพี่สาวมาหาเลยได้เที่ยวไปมาในนั้นก่อนที่จะพากลับบ้านนอกแล้วเราก็ทำงานต่อ คิคิ

เริ่มจากวันแรกเลย ใจจริงอยากจะเข้าไปเล่นสวนสนุกมากเลยนะแต่คนพาไปเราก็ให้เค้าพาไปเท่าที่เค้าว่างให้ได้อะคะ ทำงานหนักแล้วยังต้องมาพาพวกนี้ไปเที่ยวเค้าคงคิดในใจ ฮ่าๆ

เราเดินจากโรงแรมที่เราพักกันก่อนเลย ไม่มีพาหนะอะไรแต่อย่างใด ไม่อยากนั่งเมโทรเค้าเพราะเกรงว่าจะหลง เลยเน้นการเดินไปเรื่อยๆมากกว่า เจออะไรก็ถ่ายรูปอันนั้นไป หิวก็แวะกินอาหารไทย ซึ่งก็อร่อยนะ แพงดี ฮ่าๆ เราเดินไปชิลล์ไป เดินผ่านตึกสูงชันหลายตึก รู้สึกว่าไม่เห็นมีคนพลุกพล่านเลย สงสัยเค้ายังทำงานกัน ก็เลยเดินไปตามแผนที่กูเกิลบอก และแล้วก็เจอบ้านสมัยวิคตอเรีย Rosson House Museum ต้องซื้อบัตรเข้าไปด้วยนะ แล้วก็มีคนบรรยาย บ้านสมัยนั้นเป็นทรงวิคตอเรีย สร้างเมื่อปี 1895 
บ้านหลังนี้เค้าเปิดแอร์ให้ด้วยนะ ตลอดเวลา เพื่อให้อุณหภูมิคงที่และไม่ทำลายเนื้อไม้ เพื่อคงสภาพของบ้านเอาไว้ 

มุมจากด้านข้างถนน

         เริ่มจากชั้นล่างด้านหน้า เป็นห้องรับแขกสวยหรู สมกับเป็นบ้านคนรวยสมัยนั้นจริงๆ โดยมีรูปของเจ้าของบ้านสมัยมือแรกแปะไว้ด้วย คนบรรยายก็แก่แล้วนะ เราไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นทายาทของเจ้าของบ้านรึป่าว คิคิ


ต่อมาก็ห้องอาหาร จัดไว้แบบนี้ตลอด แต่เราก็ได้กลิ่นฝุ่นเบาๆนะ ถึงแม้เค้าจะเปิดแอร์ไว้ก็ตาม ก็มันเป็นของเก่าทั้งหมดเลย เอ่อคือ ทั้งบ้านเลยคะ ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สวยงามเพราะหยุดใช้งาน เลยอนุรักษ์กันไว้
    ส่วนนี้ขึ้นมาด้านบน เป็นห้องนั่งเล่นดูวิว และมี้ครื่องจักรเย็บผ้าสมัยก่อน ซึ่งสมัยนั้นไกด์บอกว่า คนที่จะมีเสื้อผ้าใส่นั้นยากมาก คือคนนึงมีชุดใส่แค่ชุดเดียว หรือยกเว้นมีกะตังค์จริงๆจะมีเครื่องเย็บผ้าใส่เองที่บ้าน จำไม่ได้ว่ารูปถ่ายเสื้อผ้าเราเก็บไว้ไหน เลยไม่ได้เอามาลง แต่ที่นั่นเค้ามีโชว์อยู่ สงสัยเผลอลบรูปไป แง้ๆๆ

        ไกด์บอกว่ารูปนี้ ช่อดอกที่ล้อมรอบรูปวาดนั้น ทำมาจากเส้นผมของคนที่เป็นเจ้าของรูป  ให้เป็นลวดลายดอกไม้สวยงาม มันกดูคลาสสิคนะ แต่พอเรารู้ว่าเป็นเส้นผม เราก็เอ๋อไปชั่วครู่ .. เป็นหวิวๆนะคะ (คือคนที่เข้าไปมีแค่เรากับพี่สาวเราไง ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาช่วงนั้น ฮ่าๆ)
       ตรงนี้เป็นทางเดินที่เข้าไปในแต่ละห้องซึ่งมีเยอะมาก สงสัยว่าสมัยนั้นจะอยู่กันหลายคนทีเดียวในบ้านหลังนี้ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนแก่ คือเป็นครอบครัวใหญ่เลยทีเดียว  และที่เห็นเป็น ปุ่มๆตรงผนังคือกริ่งที่เอาไว้เรียกคนใช้ของบ้านนี้   แหม่....รวยจริงอะไรจริงเจ้าคะ (ถ้าให้เทียบบ้านหลังนี้คงคล้ายๆวังบ้านเราของพวกขุนนางสมัยก่อนอะเนาะ แต่มันดูทันสมัยกว่าเพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาใช้แล้วในบ้าน)


                    สักพักเราก็แวะเข้าไปที่ห้องนอนของภรรยาเจ้าของบ้าน เตียงสั้นมาก ตอนแรกนึกว่าเตียงของเด็กคะ แต่คนสมัยก่อนไม่ได้สูงมากมาย ใจจริงอยากจับเตียงไม้มากเลย แต่เค้ากั้นไว้ :3
 เลยมาอีกห้องฝั่งตรงข้าม เป็นห้องที่เอาไว้ สร้างความครึกครื้น โดยมีเปียโนเป็นหลัก และพวกของเล่นของเด็กๆในบ้าน



อันนี้เราแอบจับน็ตเปียโนด้วย คิคิ เค้าไม่เห็น สภาพยังดีอยู่เลย ไม้ก็ขัดเงามันแว๊บๆ

           เดินเข้าห้องข้างๆ เป็นห้องของเด็กเจ้าคะ เข้าไปตกใจหมดเลย เห็นหุ่นหญิงสาวและชุดสีขาวยาว ฮ่อยย -_- ไม่แน่ใจว่าไกด์บอกว่าเค้าคือหุ่นที่เอาไว้เวลาตัดชุดรึป่าว เพราะบ้านหลังนี้มีเครื่องจักรคะ แต่คาดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น


           ลงมาด้านล่าง ไปห้องที่อยู่ส่วนท้ายของบ้าน เข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนเป็นห้องทดลองอะไรสักอย่าง มีโต๊ะทำงาน      แล้วไกด์เลยบอกว่า เจ้าของบ้านผู้ชายเค้าเป็นหมอ เวลากลับบ้านมาก็ศึกษาวิธีการรักษาและการผ่าตัด  เย็บที่ห้องนี้ (มีกระเป๋าเก็บชิ้นส่วน อวัยวะด้วยนะเพื่อเอามาต่อรักษา)

             และก็มีหุ่นเพื่อบอกโครงสร้างมนุษย์ด้วยในห้อง อย่างคร่าวๆ ไม่ได้ละเอียดเหมือนที่เราเห็นปัจจุบัน แต่ก็ไม่กล้าแตะคะ ฮ่าๆ กลัวเบาๆอีก

เดินกำลังจะออกมาทางหลังบ้านก่อนออก ก็เห็น สมัยก่อน แขวนไว้ เก๋เนาะ
                     (เสียดายที่หารูปห้องน้ำไม่เจอคะ จะเป็นชักโครดแบบไม้ที่เราเห็นกันในเกทส์ The sims นั่นแหละคะ คลาสสิคอย่าบอกใครเชียว)
                           แล้วก็เดินออกมาส่วนท้ายบ้านคะ เป็นห้องครัว ทุกอย่างมันดูมินิไปหมด อาจเพราะคนสมัยก่อนแม้กระทั่งฝรั่งเองก็คงยังไม่ได้สูงอะไรมากมายเหมือนเช่นปัจจุบัน ดูจากโต๊ะที่มช้เตรียมอาหาร มันเล็กมาก ถ้าเราทำจริงๆคงต้องก้มหั่นผักจนปวดหลังเลยทีเดียวคะ 
         ออกมาด้านนอกตรงระเบียงหลังบ้าน เค้าเอาเครื่องซักผ้าสมัยก่อนมาให้ดูด้วย ซึ่งอยู่ในสภาพแบบตามมีตามเกิด พังก็ซ่อม ใช้ไม่ได้ก้ปล่อยไว้งั้นแหละ คิคิ ดังนั้นเลยเห็นว่า เมื่อคนเริ่มขี้เกียจ ก็จะประดิษฐ์สิ่งแปลกๆตามมาเรื่อยๆ มันก็เก๋ไปอีกแบบนะคะ

สรุปคือ ทริปบ้านทรงวิคตอเรียนี้ ใช้เวลาไป เกิบ 2 ชั่วโมงคะ ไกด์ทำงานเต็มที่มาก อธิบายทุกอย่างละเอียด เพื่อให้เราเข้าใจถึงบ้านหลังนี้ว่าเป็นยังไง และก็ประทับใจเจ้าคะ จ่ายค่าบัตรไป น่าจะ 4-5$ ต่อคนนะ ถือว่าถูกมาก และคุ้มกับสิ่งที่ได้เห็นค่า

แวะพักก่อนค่อยเขียนสถานที่ต่อไปเจ้า J บับบาย

Tuesday, December 3, 2013

Work and travel in US และงาน 3 อย่าง


     ขอเอ่ยชื่อโรงแรมเลยนะ เพราะว่าของเค้าดีจริง การันตีความพอใจถ้าได้ไปพักนะคะ The Enchantment resort เป็นโรงแรมรีสอร์ทห้าดาว ราคาเริ่มต้นที่ 400 ดอลฯ จนถึง1000กว่าๆ อันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของกระเป๋าตังค์นะคะ ลูกค้าแต่ละห้องส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจ นักเล่นหุ้น อาจาร์ยมหา'ลัย และหมอ ซึ่งที่เห็นเยอะๆ ก็เป็นอเมริกันส่วนใหญ่แล้วมาพักร้อนกันแบบครอบครัว คนอินเดียก็เยอะ ทิปหนักด้วย ส่วนคนญี่ปุ่นก็มีพอๆกับคนอินเดียคะ แล้วก็เอเชียบ้างประปราย แล้วก็พักกันแบบเป็นอาทิตย์ มาปีนเขาทำกิจกรรมต่างๆในรีสอร์ทนี้ซึ่งมีเยอะมาก ทั้งนวดสปา อบไอน้ำ และมีส่วนของกีฬาต่างๆ เทนนิส ตีกอล์ฟ เยอะแยะเจ้าคะ เพราะรีสอร์ทใหญ่มากกก คือกินพื้นที่ถูเขาทั้งลูกเลย และยังต่อเติมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


วันที่แดดออกภาพด้านบนและ ภาพด้านล่างคือวันที่ก่อนหิมะจะตก


เริ่มกันตรงที่งานแรกดีกว่า ยุวชิโอ้ ขอสมัครที่ตำแหน่ง บัซเซอร์ ตอนแรกนึกว่าจะคล้ายๆเสิร์ฟมั้ย แต่จริงๆคือ คนเคลียร์โต๊ะอาหารคะ และจัดโต๊ะหลังจากเคลียร์เสร็จ ไม่มีสิทธิ์เข้าไปรับเมนูจากลูกค้าอะไรอย่างใดนะคะ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของพวกเด็กเสิร์ฟเท่านั้น รวมทั้งทิปด้วยต้องให้เด็กเสิร์ฟเก็บมาแล้วบอกที่แคชเชียร์เจ้าคะ ฮ่าๆๆ บอกตรงๆนะ มันคืองานที่หินพอสมควรเพราะกฎเหล็กคือ ต้องทำตัวให้ไม่ว่าง ต้องหาอะไรทำตลอด เดินไปเดินมาเจอช้อนส้อมยังไม่ได้ขัดให้เงาก็ต้องไปเอาผ้าแห้งมาขัดให้สะอาด แก้วน้ำซึ่งมีหลายแบบถ้าล้างเสร็จแล้วต้องเอามาขัดให้ใสอย่าให้มีฝุ่น


รูปนี้ชอบมาก ฮ่าๆ คือเค้าให้ไปขัดพวกเครื่องใช้ทองเหลืองให้ขึ้นเงาเพราะกำลังอยู่ในช่วงย้ายร้านอาหารของโรงแรมไปที่ใหม่พอดี ขัดกันสนุกสนานเลย XD

ทางเดินจากบ้านหลังนึงไปอีกบ้านหลังนึง ซึ่งเดินกันขาลากเลยจ้า

                 ช่วงนั้นกล้ามขึ้นคะ เพราะจานอาหารเป็นกระเบื้องหนักๆจานใหญ่ๆทั้งนั้น ต้องเก็บโต๊ะให้เร็วแล้วก็เอาไปให้พนักงานล้างจาน เทเศษอาหารพอถังเศษอาหารเต็มก็ต้องหิ้วถังละ20กิโลไปเททิ้งด้วย รวมถึงเศษกระดาษทิชชู่ถ้าถังขยะเต็มก็เอาไปทิ้งด้วยแล้วเปลี่ยนใหม่  แล้วองค์ประกอบอาหารเยอะมาก ตั้งแต่เครื่องดื่ม มีอะไรไม่รู้เตรียมเต็มไปหมดค่ะ งานแบบนี้จะยุ่งเป็นช่วงๆ เห็นสบายสุดก็บาร์เทนเดอร์อะนะ ฮ่าๆๆ

                 หน้าที่หลักๆก็ประมาณนี้แต่จริงๆก็มีมากกว่านี้ ฮ่าๆ รายละเอียดมันเยอะมาก แต่เราจะรู้จักเพื่อนเยอะมากตรงจุดนี้เพราะพวกเด็กเสริฟเค้าเยอะ แขกบางโต๊ะ เคยได้ยิน ทิป 100 เลยคะ โอ้วแม่เจ้า ทำงานที่ไทยเกือบสิบวัน ฮ่าๆๆ

                 มางานที่สอง ผู้จัดการร้านอาหารบอกว่า เด็กมางานด้านอาหารมันเยอะไป ขอแรง สองคนมาช่วยที่สระน้ำหน่อย เค้าเลยถามว่าใครว่ายน้ำเป็นบ้าง เลยมีเรากับเพื่อนอีกคนที่เราเลือกไป

อารมณ์ของลูกค้าจะรู้สึกชิลล์ดีมากเพราะว่ายน้ำใกล้กับโขดหินสีแดงๆมาก


ส่วนพวกเราก็ นั่งดูเค้าเล่นน้ำกันกับช่วยเตรียมของให้ลูกค้าประปราย

ทางลงด้านล่างตรงนี้จะทะลุกับสนามเทนนิส ซึ่งคู่พ่อลูกจะมาบ่อยมาก ส่วนคู่แม่ลูกจะมาว่ายน้ำกัน ออกแบบดีอะ อยากเล่นมั่งงง T_T ได้แต่ดูเจ้าค่า ฮ่าๆ

ภาพนี้แอบถ่ายแบบแลนด์สเคปตอนเริ่มวางของจัดสระน้ำให้ดูดี สวยเนาะ คิคิ

คราวนี้ เรารู้จักคำว่า"สบาย" อย่างสุดๆคะ คือสระว่ายน้ำที่เปิดใหม่  ใหญ่มากและเหมือนต้องการคนมาดูแลให้กระจายๆออกไป คราวนี้หวานหมูเลยคะ นานๆทีจะมีคนมาว่ายน้ำ ฮ่าๆ คืออากาศช่วงนั้นก็จะยังกึ่งๆหนาวในช่วงเช้า เราก็มีหน้าที่จัดเตียงอาบแดดที่สระว่ายน้ำให้พร้อม เก็บผ้าขนหนู แล้วก็มีพวกเด็กบาร์เทนเดอร์ลงมารับออเอดร์เครื่องดื่มในช่วงบ่ายๆ นอกนั้นก็ว่างค่ะ เพราะมันไม่มีอะไรทำ เลยเบื่อมากกกกก  แต่ได้ตังค์เท่ากับบัซเซอร์นะคะ เหตุเพราะ"สบายเกินไป"แต่นั่นแหละจึงขอเปลี่ยนงานมาเป็นสิ่งที่เราค้นพบเลยว่า "มันใช่" นั่นคือ "แม่บ้าน"


    ตอนแรกกลัวมากเพราะเค้าบอกว่างานโหดแต่เอาเข้าจริงๆ สนุกกว่าเด็กเสิร์ฟอีกนะ แล้วเพื่อนร่วมงานคือกลุ่มแม่บ้านเม็กซิกัน บางคนพูดอังกฤษยังไม่ได้จ้าาา แต่พวกเค้าน่ารัก เราชอบ เค้ากันเองดี งานนี้แม่บ้านขับรถกอล์ฟนะคะ แล้วก็ออกตามล่าทิปตามห้องที่เราได้ลิสต์ของผู้จัดการจัดไว้ให้

     ได้ร่วมงานกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน เพราะห้องที่้ตองทำความสะอาดค่อนข้างใหญ่ ขึ้นอยู่กับจำนวนห้องว่าลูกค้าจองห้องใหญ่หรือเปล่า หรือจองบ้านทั้งหลังเลย แต่สนุกคะ ต้องมารีบทำความสะอาดให้ทันแขกที่เช็คเอ้าท์ เพราะทิปมันอยู่ในนั้นนั่นเอง ที่ต้องรีบเพราะจะมีพ่อบ้านอีกกลุ่มนึงคะ เค้าจะมารับผ้าปู้เตียงและผ้าขนหนูไปส่งห้องผ้าก่อน บางคนใจดีไม่ขโมยทิปเรา บางคนใจร้ายแย่งไปเลยกับตาก็มี ซึ่งที่จริงมันคือสินน้ำใจที่คนทำความสะอาดควรจะได้คะ ไม่ใช่ส่วนของพ่อบ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม่บ้านก็ต้องมีน้ำใจถ้าพ่อบ้านไม่ได้ดึงเงินส่วนนั้นไป แม่บ้านก็จะแบ่งให้ตามเหมาะสมคะ


ช่วงหิมะตก บริเวณบนเขาแดงๆก็มีหิมะขาวปุยปกคลุม สวยดีอิอิ 


           งานมันสนุกตรงที่ต้องแย่งชิงทิป ฮ่าๆ สำหรับวัยรุ่นแล้ว มันคือเรื่องที่ตื่นเต้นคะ พอเราได้ทิปมา มันรู้สึกตื่นตาตื่นใจ สนุกกับงานที่ทำ ถึงแม้จะเหนื่อยแต่มันสนุกคะ เลยรู้สึกว่างานนี้มันโอเคแล้วแหละ อารมณ์คือไม่อยากทำงานด้านอาหารอีกเลยเพราะรายละเอียดมันเยอะ  งานแม่บ้านก็เนี๊ยบในส่วนที่มันไม่ได้ซับซ้อนมาก เช่นกระจก โต๊ะ พื้น ห้องน้ำ กลิ่น รวมถึงเตียงที่ตึงเรียบ เป็นประสบการ์ณที่ดีคะ เราเองเด็กไทยที่อยู่ไทยมีหน้าที่แต่เรียนๆพอจบม.หก ก็เรียนๆ โดยที่ไม่มีเวลามาหาตัวตนแบบเด็กที่ต่างประเทศเค้าได้เบรคช่วงชีวิตหลังจากไฮสคูลเพื่อค้นหาตัวตนของพวกเขา ถ้าเค้าเจอแล้วว่ามันคืออะไร พวกเค้าถึงจะตัดสินใจเรียนต่อ เพราะเวลาสี่ปีที่เค้าต้องเรียนมันคืออาชีพที่พวกเค้าต้องรักมันและทำมันจนจบอย่างมีความสุข แต่อย่างไรเราก็ไม่เสียดายคะถึงแม้ตอนนี้เราก็เริ่มจะจับทางได้แล้วว่า แท้จริงแล้วเราต้องการอะไร เราอยากเป็นอะไร เราก็หาเส้นทางเพื่อไปให้ถึงและพยายามอย่างเต็มที่ในทุกๆวัน ถึงตอนนี้เราจบแล้ว แต่ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะทำงานที่เรียนจบมาเลย แต่พอเห็นเส้นทางที่เราจะไปต่อแล้ว ก็เริ่มทำมันต่อไป เพื่อให้ได้สิ่งนั้นและได้ทำมันจริงๆอย่างที่คาดหวังมันไว้
ตึกบริเวณทางก่อนเข้าซอยในโรงแรมเจ้าค่า หิมะขาวๆปกคลุมแบบหัวเห็ด น่ารักดี 


ทุกครั้งที่แขกเชคเอ้าท์ จะมีของกินเยอะแยะกลับมาเสมอคะ ฮ่าๆ
และนี้ก็อีกชิ้นนึงที่แขกไม่เอากลับบ้าน งั้น เสร็จแม่บ้านไป ตามระเบียบ


   ถึงวันนี้เราก็ต้องสู้ต่อไปคะ    รู้สึกยังโชคดีที่พ่อแม่เราเป็นครอบครัวที่เปิดให้เราคิด ไม่อยากจะโทษตัวเองที่ตัดสินใจเรียนเพราะพี่สาวบอก   แต่มันไม่ได้มาจากความรักความชอบในสิ่งนั้น ซึ่งสี่ปีที่เรียนมามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยมันสอนให้เราเป็นคนละเอียดมากขึ้น กล้ามากขึ้นที่จะคิดทำในสิ่งที่แตกต่าง ทำไปเถอะคะ อะไรที่เรารักมัน เรามักทำมันได้ดีเสมอ ในจุดที่เราพอใจ ไม่เดือดร้อนใคร และสุจริต

แหม่พิมไปบ่นไป เมือยมือเลย งั้นเครั้งต่อไป ลงเรื่องทริปต่อเลยละกันเจ้าา บับบายจ้า :)

Monday, December 2, 2013

Jerome AZ

หลังจากสงบจิตแล้ว กลับมาเขียนต่อ คิคิ

คราวนี้ไปที่เมืองผี อยู่ไม่ห่างจากที่พักนักก็ขอเกาะแข้งขาเพื่อนผู้ใจดีช่วยพาไปโหน่ย เริ่มจากขึ้นเขา มีไม่กี่โค้งแต่ชันพอสมควร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ถึงจุดชมวิวของหมู่บ้านนี้ Jerome
อากาศวันนั้นออกแนวเหมือนฝนกำลังจะตก แต่ไม่ตกหรอกเพราะดินแดนแถบนี้แห้งแล้ง ถ้าจะตกก็แปปเดียว ไม่นาน  แต่ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวอีกเช่นเคย เอะรึพวกเราไปไล่เค้าหมด ฮ่าๆ
 ตรงนี้คือสามแยกที่ดิ่งลงมาจากถนนเขาชันด้านขวา ซึ่งเท่าที่เห็นเค้าแค่แวะมาทานข้าวกันช่วงมื้อเย็นแล้วก็กลับบ้านไป จึงคิดเอาว่าน่าจะเหมาะกับเป็นที่เปลี่ยนบรรยากาศกินข้าวนอกบ้านของคนที่นั่นมากกว่า ไม่ได้เป็นจุดที่คึกคักมากมาย
 เด็กเอเชียสี่คน ก็ต้องมาปีนเขาเพื่ออยากดูวิวด้านบน 
 ถนนสะอาดสะอ้าน รถไม่เยอะ เมืองสงบ ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีผีอย่างที่เค้าว่าๆกันเลย ฮ่าๆๆ
 มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ส่วนมากเป็นงานที่ทำด้วยมือแต่ตอนเราไป ไม่มีร้านไหนเปิดเลย หรือเราไปผิดช่วงไม่ยักกะรู้ เพราะถ้าเค้าไม่มีนักท่องเที่ยวคงปิกเปิดร้านเป็นช่วงๆมั้ง

อันนี้ก็ถ่ายมา มันแปลกๆดี ไม่รู้คืออะไร เห็นที่บ้านไม่มีเลยถ่ายมา คิคิ
ของที่ขายกันในร้านก็ออกแนวคาวบอยอีกเช่นเคย จริงๆในเมืองนี้ก็ไม่มีอะไรนะ แต่บรรยากาศข้างทางมันน่าสนมากกว่า เหมือนบุกเข้ามาอีกเมืองหนึ่ง
เดินๆเล่นๆอยู่เกือยสองชั่วโมง แล้วเราก็กลับกัน เลยแวะไปซ์้อของกลับเข้าบ้านก่อน เสบียงกักตุน เพราะทำอาหารไทยกินตลอดเจ้าคะ 

รูปน้อยมากสำหรับที่นี่เพราะบรรยากาศมันคล้ายๆกัน แต่ที่เห็นแล้วตื่นเต้นสุดก็แกรนแคนยอนด์แหละคะ เมืองนี้คนที่นั่นใจดีมาก เค้าเห็นเด็กไทยเดินเล่น(เดินกลับบ้านเพราะรถเมล์หมด) เค้าก้ทยอยมารับแล้วไปส่งจนครบ จากห้างสรรพสินค้า วอลมาร์ท )พวกเค้าเจ๋งมาก นิสัยดี มีน้ำใจ พอดีอยู่บ้านใกล้กัน พวกเราเลยทำอาหารไทยไปให้ ไม่รุ้ว่าจะชอบมั้ยอะนะ ฮ่าๆ สรุปโดยรวม เราชอบที่นี่นะ เดะครั้งหน้าลงเรื่องไปเที่ยวในตัวเมือง Phoenix กับพี่สาวแวะมาหา วันนี้ขอตัวไปค้นรูปก่อง คิคิ บับบาย :)


Sunday, November 17, 2013

Sedona สวรรค์ชั้นน้อยๆของแกรนด์แคนยอน :)

เขียนต่อดีกว่า คิคิ คนมันว่างงานอะนะ =_="

      ตัดภาพมาที่หุบเขา ดินแยกชั้นสีแดงอิฐ ความรู้สึกตอนแรกที่มาเห็น พูดก่อนเลยว่าไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่ (ก็รู้สึกเหมือนถูกนำมาปล่อยไว้กลางหุขเขาว่างเปล่าไง)  แต่พอเราว่างจากงานแล้วเริ่มออกมาหาคำตอบว่า ทำไมหุบเขาที่แห้งแล้ง และห่างไกลผู้คนเช่นนี้ถึงได้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ขาดสาย(เหตุเพราะเป็นแม่บ้านแล้วได้ทำความสะอาดแบบnonestop 555) ห้องพักที่โรงแรมที่ทำงาน แขกเชคอินเชคเอ้าท์ทุกวัน และเต็มตลอดปี ด้วยเหตุนี้เองจึงตัดสินใจมาหาคำตอบอย่างจริงจังในวันหยุดทำงาน

       มองไปไกลสุดตาจากด้านหน้ารถ อารมณ์คล้ายเหมือนที่นี่เป็นวิมานยังไง ยังงั้นเลย มีกลุ่มก้อนหินลักษณะคล้ายปราสาทวางเรียงรายอยู่สุดปลายทาง แล้วรถกำลังวิ่งเข้าหาปราสาทนั้น โอ้ยยย เห็นแล้วมันชื่นนนใจเจ้าคะ 

       วันที่ออกมาร้อนสุดชีวิต และเดินกันสนั่นหวั่นไหว ไปกับเพื่อนอีกคน ยังไม่พอ ใส่ขาสั้นอีกต่างหาก แหม่ผิวแทนโกลวววเลยทีเดียวคะ สีขอบฟ้ามันช่างสดใสเหลือเกินคำบรรยาย ตัดกับกังงหันสีรุ้งแล้ว น่ารัก คิคิ แก้งที่ถืออยู่นั้น ราคา 97cents(แก้วที่ใช้จะเป็นแก้วโฟมน้ำแข็งก็เลยไม่ละลายเพราะอากาศร้อนเกิ๊นนน) คือเดินไปดูดน้ำโค้กแก้วนี้ไป หมดแบบไม่เหลือน้ำแข็งเลย เพราะอากาศร้อน แต่ก็เดินชมความสวยงามไปรอบๆ สิริรวมก็ น่าจะสามชั่วโมง  แบบไม่พักจ๊า ฮ่าๆ




ม้าเศษเหล็ก ตั้งอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึกอะไรซักอย่างนะ จำไม่ค่อยได้ แต่ตัวใหญ่มาก น่าจะสามเมตรได้นะ
นี่ก็วิวด้านข้าง มีหินสีแดงอิฐสดแยกชั้นเรียงรายเต็มไปหมด สวยงามเหมือนนิยาย
 ประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำด้านล่าง เค้าทำสวยดีแล้วก็เป็นเหล็กทุกอัน ทนแดดทนฝนมาก (ถ้าเป็นที่ไทยอาจโดนงัดเป็นเศษเหล็กนะเคอะ)



        เดินมาขึ้นรถเมล์ไปที่ตัวเมืองเซโดน่า ทุกอย่างอารมณ์แบบว่า แลนด์สเคปมาก มันกว้างไกลไปนู่นนนน เดินมาป๊ะกับโรงแรมหรู นี่ทำเลเค้าอยู่ตรงสามแยกพอดีเลย แล้วทำลักษณะเป็นเหมือนกำแพงโค้งตรงแยก ค่อยมีทางเข้าไปด้านใน แหม่ ฝรั่งเค้าก็ดูโหงวเฮงเหมือนกันนะเนี่ยะ  

อารมณ์แลนด์สเคปของยุวชิโอ้ คิคิ  <3


       เดินเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านร้านไอติม โคนละ สี่ดอล โอ้ววว นี่ได้ฮาร์เกนดาสบ้านเราเลย แต่ของเค้าเป็นแบบโฮมเมด อร่อยมากกก XD เลิฟฟฟ  เดินมาซักพัก เห็นรุปปั้นคู่รัก เค้าทำได้อารมณ์โรแมนติกมาก เป็นอีกที่สำหรับคู่ฮันนีมูนแบบ ผจญถัยนะ



       ร้านขายของเล็กๆน้อยๆ ออกแนววคันทรี่ แบบคาวบอยๆ ไม่แน่ใจว่าเราไปเดินกันตอนเที่ยงหรือยังไงไม่ทราบแต่ นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันมาตอนเราเริ่มจะกลับ ฮ่าๆ เพราะแสงแดดที่นี่ร้อนมาก เค้าคงรอให้ไม่ร้อนแสบผิวมาก ถึงค่อยมาเดินเล่นกัน เมืองเล็กๆแต่อบอุ่น เคยได้มีโอกาสไปบ้านคนไทยในเซโดน่าด้วย เค้านวดบำบัดรักษาคนที่เป็นอัมพฤกษ์ให้หายและกลับมาเดินอีกครั้งได้ อ้อ คนไทยนะคะจำได้ว่าพี่เค้าเรียนจบการตลาดเหมือนเราเลย แต่คนละที่กัน พี่เค้าน่ารักมากและบ้านก็ร่มรื่นมากด้วย ชวนพวกเรานั่งดื่มชาสมุนไพรและดูนกแก้วหลายตัวมากที่บ้านพี่เค้าเลี้ยงไว้ ไม่รู้โอกาสไหนอีกนะ จะได้กลับไปดินแดนหินทรายแดงสวรรคือีก อิอิ 



เดินเล่นกันจนเหนื่อย ผิวสีน้ำผึ้งไหม้กันแล้ว ก็กลับบ้าน นอนกันเพลียร่างมาก จำความได้เลย ใส่กางเกงขาสั้น กลับบ้านขาลายเป็นม้าลาย เริ่ดตรงนี้ 
ปล. ค่ารถเมล์คนละ 3-5ดอล ต่อเที่ยว ส่วนอาหารอื่นๆเราไม่ซื้อกินเพราะกลับไปกินที่บ้านพักดีกว่า เปลืองง ฮ่าๆ

เดะต่อไป เดินเล่นที่ Jerome เมืองเก่า โรงแรมผี และงาน3อย่างที่ได้ทำในเวลา 4เดือนที่นั่น จะมาเขียนต่ออีก ตอนนี้หิวว เหนื่อยๆ ง่วงอีกแล้ว บับบาย :)